เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ม.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม เราเกิดมา เห็นไหม เราเกิดมาโดยความไม่รู้ตัว ถ้าเราไม่รู้ตัว ปฏิสนธิจิตเวลาในไข่ ในน้ำคร่ำ โอปปาติกะ เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ กำเนิด ๔ ของจิต จิตมันกำเนิดของมันตลอดเวลา คำว่ากำเนิดตลอดเวลา จิตไม่มีเว้นวรรค เหมือนความรู้สึกเรา ความรู้สึกเรา ขนาดเราไม่รู้สึกตัว แต่มันก็เหม่ออยู่ มันรู้สึกของมัน จิตนี้ไม่เคยตายไง

ฉะนั้น เวลาจิตเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา คำว่าพุทธศาสนา เห็นไหม นี่เราดูสิ ครูบาอาจารย์ล่วงไปๆ เหมือนใบ้ไม้ล่วงไปๆ ใบไม้มันผลัดใบนะ ถ้าใบไม้มันผลัดใบ มันมีใบใหม่ขึ้นมา แล้วใบใหม่มีคุณภาพ ใบไม้นั้นมันก็สังเคราะห์อาหารให้กับต้นไม้นั้น ใบไม้นั้นเกิดมา ใบนั้นไม่สมประกอบ ใบนั้นไม่มีประโยชน์ขึ้นมา ต้นไม้นั้นจะแคระแกรนไป

เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ แล้วได้พบพุทธศาสนา เราพบพุทธศาสนา เห็นไหม เราเกิดมาพบตั้งแต่ครูบาอาจารย์ของเรา ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ อ่านประวัติของท่านสิ ก่อนที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ สังคมเขาเชื่อถือกันว่าอย่างไร? สังคมว่าพระบวชแล้วก็อยู่วัดอยู่วา ก็มีความสุขสมบูรณ์อยู่แล้วในชีวิตของพระ

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านไม่พอใจขนาดนั้น ท่านออกแสวงหาของท่าน ท่านวิเวกของท่าน เพื่อรื้อค้นคุณธรรมในหัวใจของท่านขึ้นมา พอรื้อค้นในหัวใจของท่านขึ้นมาเพื่อเผยแผ่ เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา หลวงปู่มั่นท่านบอกท่านอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านไม่มีเวลาว่างเลย ท่านจะรับเทพ ตั้งแต่ ๔ ทุ่มขึ้นไปเทพมาแล้ว เทพมาแล้วนะ คนก็สงสัยว่า อ้าว ก็ทำไมหลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าเทพท่านรู้ได้อย่างไร?

หัวใจที่สว่างไสว หัวใจที่ผ่องใส อยู่ในที่ใดก็แล้วแต่มันสว่างไสว มันผ่องใสของมัน ดูสิเรามองเข้าไปในที่มืด เห็นไหม นี่ในปัจจุบันนี้เราไปเที่ยวแม่กลองกัน เราไปเที่ยวอะไร? เราไปเที่ยวดูหิ่งห้อย หิ่งห้อยอยู่ในที่มืดของมัน มันเปล่งแสงของมัน เราเห็นความสวยงามของมัน จิตใจของครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านชำระจิตใจของท่านจนเป็นที่พึ่งอาศัย เทวดา อินทร์ พรหม เขาเห็นกัน เขาไปฟังเทศน์ฟังธรรม

ฟังเทศน์ฟังธรรมที่ไหน? ภาษาใจไง ภาษาใจคือภาษาความรู้สึกนึกคิด ดูสิเวลาเรารู้สึกนึกคิดกัน เรานึกคิดสิ่งใดเราก็คิดของเราได้กันใช่ไหม? แต่คนอื่นเขาจะรู้กับเราได้ไหม? นี่เราต้องใช้ภาษาพูด ภาษาสื่อภาษา เห็นไหม ภาษาต่างๆ ภาษาพูดนี้เพื่อสื่อความหมายกัน แต่เวลาจิตมันไม่เคยตาย จิตมันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาก็มีความรู้สึกนึกคิดของเขา

นี่ความรู้สึกนึกคิดของเขา เวลาฟังธรรมครูบาอาจารย์เรานี่ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เทศนาว่าการเทวดา อินทร์ พรหม ไม่ต้องอ้าปากเลย ความรู้สึกนึกคิดนึกอย่างไรเขารู้แล้ว เพราะความรู้สึกนึกคิดนี่ภาษาใจ แต่ของเราภาษาพูด จ้ำจี้จ้ำไชๆ เราก็บอกว่าทำไมพระท่านดุ? พระท่านดุ? หลวงตาท่านบอกว่าท่านมีเมตตามาก แต่ท่านดุกิเลสของสัตว์โลก เพราะเวลากิเลสมันขี่หัวเรานะ นี่ตัณหาความทะยานอยาก

คำว่าตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาคือความพอใจ ตัณหา วิภวตัณหา ตัณหา เห็นไหม ตัณหามันเกิดมาอยู่ในหัวใจของเรา มันเป็นอวิชชา มันไม่รู้ มันมีแรงขับดันของมัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ก็เพื่อจิตใจเราสงบขึ้นมาแล้ว ตัณหาคือความอยาก อยากในโลก อยากมั่งมีศรีสุข อยากยึดมั่นถือมั่น อันนี้อยากแล้วเป็นความทุกข์

ความอยากของเรานะ อยากประพฤติปฏิบัติ อยากจะแกะมัน อยากจะปลดเปลื้องมัน เราก็ต้องมามุมานะเป็นตบะธรรม ทำความเพียร วิริยะอุตสาหะเพื่ออะไร? เพื่อเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราไง เอาความรู้สึกนึกคิดนี้ไว้ในอำนาจของเรา สิ่งที่มันเป็นแรงขับไส ใครเอาใจของตัวเองไว้อยู่บ้าง? มีใครบังคับใจของตัวเองอยู่บ้าง? ไม่มีใครบังคับใจของตัวเองได้เลย แต่ถ้ามีสติ เห็นไหม มีสติแล้วเราระลึกรู้ของเรา เรากำหนดพุทโธของเรา เรายับยั้งมัน เราบังคับมัน

บังคับ! เขาบอกบังคับไม่ได้ มันเป็นกิเลสบังคับไม่ได้ มันเป็นตัณหา มันเป็นความอยาก มันปฏิบัติไม่ได้ แล้วคนตายหรือ? คนตายใช่ไหม? ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนท่านสอนคนมีกิเลส เวลาเป็นพระอรหันต์ไปแล้วท่านไม่สอนนะ

ในสมัยพุทธกาล “เอหิภิกขุ” ภิกษุที่ฟังเทศน์ท่านเป็นพระอรหันต์นะ “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด”

แต่ถ้าผู้ยังมีกิเลสอยู่ต้องว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่อปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ไป”

นี่เวลาปฏิบัติกันท่านสอนคนมีกิเลส ฉะนั้น เรามีกิเลสอยู่มันมีความอยากอยู่แล้ว แต่มีความอยากแล้ว นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เอาความอยากนี้ ให้อยากประพฤติปฏิบัติ ให้อยากที่เป็นมรรค อยากทำคุณงามความดี อยากมาวัดนี่ อยากมาวัด อยากทำความดีไม่เป็นกิเลสหรอก ถ้าเป็นกิเลสนะ อยากทำความชั่วนี่เป็นกิเลส อยากทำความดี แต่ความดีขนาดไหนล่ะ?

คำว่าความดีนะ ความดีมันมีเจริญมากขึ้นไปเรื่อยๆ ความดีมันมีนะ “ความดียิ่งกว่านี้ยังมีอยู่” เห็นไหม เรามาประพฤติปฏิบัติ เรามาทำบุญกุศลแล้ว ทำบุญกุศลแล้วได้อะไรล่ะ? มันก็ได้อามิส ได้อามิสคือสิ่งที่เกิดขึ้น ทำบุญกุศล เสียสละไปแล้ว ผู้ที่ได้รับเสียสละของเราไปเขาได้ดำรงชีวิต นี่เราให้ชีวิตเขา เราอำนวยความสะดวกกับเขา เราก็มีความปลื้มใจ มีความพอใจของเรา นี่เป็นอามิสไง

เวลาเรามีความปลื้มใจ เรามีความสุขใจของเรา เห็นไหม มันสร้างบุญกุศลจนจิตใจนี้อิ่มเต็ม เวลาจะตายไปเราพร้อมที่จะตาย พร้อมที่จะไปไหนก็ได้เพราะเรามีเสบียงพร้อมขึ้นมา มันไปด้วยความพอใจของมัน มันไปด้วยความสุคโต ไปด้วยความอิ่มเต็มของมัน มันก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาใช้สิ่งที่เป็นทิพย์หมดแล้วมันก็เวียนกลับมาเกิดอีก แล้วเกิดเป็นอะไรล่ะ? เราใช้สอยหมดแล้วเราจะเกิดเป็นอะไรต่อไปล่ะ?

นี่สิ่งที่เราทำบุญกุศลมันก็ให้บุญอย่างนั้น นี่ความดีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ มันมีอยู่ เห็นไหม คนน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราไม่มีสิ่งใดเสียสละของเรา เราไม่มีสิ่งใดเลย เราเสียสละบุญกิริยาวัตถุ เราเสียสละกิริยาของเรา กิริยาคือเรานั่งสมาธิของเรา เราทำความสงบของใจของเรา เราภาวนาของเรา อย่างนี้ยิ่งมีบุญมากกว่า คนทำบุญมากขนาดไหนก็แล้วแต่ ถึงที่สุดจะพ้นจากทุกข์ได้ต้องมีการภาวนา

เรานั่งมองจานอาหารนะ สำรับอาหารมาตั้งอยู่นี่นะ ทุกคนก็นั่งล้อมวงอยู่ ทุกคนก็นั่งมองมันอยู่ ทุกคนไม่มีใครได้กินเลย แต่ถ้าใครนั่งอยู่ล้อมวงสำรับนี้นะ ทุกคนได้ตัก ทุกคนได้เปิบอาหารนั้นใส่ปาก ทุกคนได้เคี้ยวได้กินเข้าไปคนนั้นจะอิ่มเต็ม เรานั่งสมาธิภาวนา ถ้าจิตใจมันไม่มีการประพฤติปฏิบัติของมัน จิตใจไม่มีการเคลื่อนไหวของมัน จิตใจนั้นจะไม่มีธรรมะในหัวใจเลย แต่สิ่งที่ได้มา สิ่งที่ได้มาก็ครูสอนไง

ครูสอนนักเรียน เห็นไหม พอจบก็แจกใบประกาศใช่ไหม? นักเรียนจบแล้วมันก็จบแล้ว มันก็มีความรู้ของมันแล้ว แล้วนักเรียนทำอะไรต่อไป? มันไปปล้นจี้ก็ได้ มันไปทำคุณงามความดีก็ได้ มันไปทำเพื่อประโยชน์สังคมก็ได้ มันยังไปได้อีกเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นอามิส เราทำบุญกุศลแล้ว ก็บุญกุศลเราก็ได้รับแล้วไง แต่ปัญญามันเกิดไหม? มันทำความสงบสำเร็จในจิตไหม? ถ้าจิตมันทำความสงบสำเร็จของมันนะ มันจะมีการกระทำของมัน เราถึงเห็นคุณงามความดีของเรา ฉะนั้น ผู้ที่เห็นคุณงามความดีที่ละเอียดขึ้นไป เห็นไหม เขามาแล้วเขาจะสงบสงัดของเขา นี่กิริยามันแสดงออก ฉะนั้น แสดงออก คนที่ภาวนานี่การเหยียด การคู้ การเคลื่อน การไหว เขาจะมีสติปัญญาของเขา เพราะเขาต้องรักษาของเขา

การรักษาของเขานะ ถ้าเราเผลอสติ กิเลสมันพยายามจะแฉลบอยู่แล้ว ถ้าเราเผลอมันก็แฉลบออกๆ ถ้าเราตั้งสติของเรานะ พอมันแฉลบ มี ๑ มี ๒ มี ๓ มี ๔ นะจนเคยตัว นี่ย้ำคิดย้ำทำ ย้ำจนเป็นจริตนิสัย ทำจนเคยใจ เคยไปแล้วก็ไม่ผิดหรอก ก็ไม่เห็นมันผิดอะไร? แต่ถ้าคนเขาระวังรักษาของเขานะ อันนี้ก็ผิด อันนี้ก็ไม่ดี เห็นไหม เราเผลอแล้ว นี่มันแฉลบออกแล้ว มี ๑ มี ๒ มี ๓ มันจะเคยตัวไปเรื่อยๆ เราต้องตั้งสติไว้

เราตั้งสติของเรา เรากำหนดคำบริกรรมของเรา ทำไมต้องบริกรรม? เราตั้งสติแล้วมันก็มีแรงขับดัน เดี๋ยวมันก็แฉลบไปเรื่อยๆ แฉลบไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีพุทโธ เห็นไหม เกาะเอาไว้ไม่ให้ไป ถ้าไปก็ไปที่พุทโธนี่ พุทโธ พุทโธนี่คำบริกรรม จิตนี้เป็นพลังงาน พลังงานที่เราควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกของคนนะ นี่ความคิดของจิตมันเร็วกว่าแสง แสงมันเคลื่อนที่ไป เราคิดถึงอเมริกาสิ คิดถึงดวงจันทร์สิ คิดถึงดาวอังคารสิ คิดถึงจักรวาลสิ คิดถึงหลุมดำสิ มันกลับมา ๒ รอบ

มันไปกลับๆ มันเร็วมากใช่ไหม? เราก็ให้มันคิดพุทโธ พุทธานุสติ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก แก้วสารพัดนึกนะ ทำคุณงามความดีตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอน แล้วเราได้คุณงามความดีเป็นอามิส เราบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ เราก็ได้ที่พึ่งอาศัยด้วยคำบริกรรม มันเป็นกรรมฐาน ๔๐ ห้อง

พุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ อืม พุทธะเป็นแบบนี้ พุทธะเป็นผู้รู้ พุทธะเป็นผู้ตื่น พุทธะเป็นผู้สว่างไสว พุทธะ เห็นไหม นี่ตัวพลังงาน ตัวพุทธะ แล้วพุทธะนั้นต้องใช้ปัญญาเป็นธรรมะ ถ้าธรรมะมันพิจารณาของมัน นี่แก้วสารพัดนึก เรานึกได้อย่างใด แก้วสารพัดนึก ถ้านึกเอาๆ นึกเอามันก็เป็นจินตมยปัญญา เราภาวนาของเรา แยกแยะของเรา ฝึกหัดของเรา ทำของเราขึ้นมา

“ความดีที่ดียิ่งกว่านี้ยังมีอยู่”

เรามาวัด มาทำบุญกุศลกัน เป็นกำปั้นทุบดิน ของเป็นสัญชาตญาณ ของที่จับต้องได้ ไปวัดไปวา ไปทำบุญกุศล ทำนี่เขาบอกทำแล้วมันก็ยังทุกข์ ทำแล้วก็ว่าได้บุญกุศล นี่เขาว่าพุทธศาสนา ทำบุญในศาสนา ศาสนานี้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ทำแล้วจะรุ่งเรือง ทำไมมันทุกข์แสนเข็ญขนาดนี้ล่ะ? แล้วเวลามันสุขทำไมมันไม่พูดถึงล่ะ?

เวลาทุกข์แสนเข็ญนะ คนเรานี่นะมันมีกรรมเก่า-กรรมใหม่ สถานะในการเกิด เวลาไปเกิด เห็นไหม บาลานซ์ระหว่างพ่อกับแม่ สังเกตได้ไหม? พ่อแม่ที่มีความสุขร่มเย็น ลูกเกิดมานี่เขาจะมีวุฒิภาวะที่ดี ถ้าเราทุกข์เรายาก เวลาเด็กมันจะเกิด ความบาลานซ์นี่จิตปฏิสนธิ จิต ปฏิสนธิลงระหว่างพ่อ แม่ ลูก ถ้าพูดถึงไม่มีปฏิสนธิจิตขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดเกิด นี่สิ่งที่เกิดมันไม่มี ปฏิสนธิลงมาในไข่

นี่ในครอบครัวหนึ่ง ในวุฒิภาวะในขณะนั้น ลูกของเราจะแตกต่างกัน พอแตกต่างกัน เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมา นี่เวลาเกิดขึ้นมาปฏิสนธิ เวลาเกิดขึ้นมาแล้วเราจะดูแลรักษาอย่างไร ถ้ามันเจริญเติบโตขึ้นมา ทีนี้เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะมาแก้ไขสิ่งนี้ สิ่งที่แก้ไขสิ่งนี้ เห็นไหม เวลาจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาฐีติจิต ฐีติจิตมันคืออะไร? ตัวพลังงานฐีติจิต

นี่อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง เขาว่าอวิชชาเวลาเกิดขึ้นมา นี่อิทัปปัจจยตาต้องเกิดจากอวิชชาๆ แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่าอวิชชามันเกิดบนอะไร? อวิชชามันต้องมีพ่อมีแม่ของมันเหมือนกัน ไอ้ความไม่รู้นี่ใครเป็นพ่อแม่มัน? ไอ้ตัวไม่รู้ใครบัญญัติมันขึ้นมาว่ามันไม่รู้ นี่มันเกิดฐีติจิต เกิดบนพลังงานนี้ไง นี่พลังงานที่เวลาเราสงบเข้าไป เวลาถ้าจิตสงบ ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันจะเป็นสัมมาสมาธิ

แต่ในปัจจุบันนี้ว่าว่างๆ ว่างๆ ว่างอะไร? ว่างก็อวกาศไง ว่างก็ลมไง ลมมันก็ว่างของมัน แล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา? เพราะมันไม่มีเจ้าของ มันไม่มีสติ มันไม่มีผู้ที่รับผิดชอบมัน ถ้าเรามีสติของเรา เรามีปัญญาของเรา เห็นไหม นี่ถ้ามันว่างเราก็รู้ว่าจิตเราว่างสิ เวลามันทุกข์นะ เวลามันโชกเลือดนะ รู้สึกว่ามันทุกข์ เวลามันสุขไม่รู้ได้อย่างไร? เวลามันแบกหามนี่รู้ว่ามันแบกหาม เวลามันปล่อยไม่รู้ว่ามันปล่อยได้อย่างไร? แล้วมันปล่อย แล้วใครเป็นคนปล่อยล่ะ? แล้วปล่อยมันเหลืออะไรล่ะ? แล้วคนปล่อยทำอย่างไรต่อไปล่ะ? นี่ความดีที่ดียิ่งกว่านี้ มันมีของมันไปเรื่อยๆ นะ

ฉะนั้น เวลาเรามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม ใบไม้มันผลัดใบไปเรื่อยๆ นะ ชีวิตเกิดมาแล้วมีพลัดพรากกันเป็นที่สุด ชีวิตนี้ทุกชีวิตต้องตายไป ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านชำระจิตใจของท่านจนขาวสะอาด จนเป็นใบไม้ที่มีคุณภาพ แล้วท่านสั่งสอนเรา แล้วท่านก็ต้องล่วงไปๆ เป็นธรรมดา ฉะนั้น เวลาใบไม้มันล่วงไปๆ มันสะเทือนเราไหม?

นี่เขาบอกว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปเราได้คิดไหม? เราได้หวั่นไหวในหัวใจไหม? เวลาคนเกิดมาเมื่อก่อน ๑๖ ล้านคน คนเกิดมานี่มหาศาล แต่เวลาคนที่มีคุณสมบัติ คนที่คุณงามความดีล่วงไปๆ เราจะต้องเตือนเรา เราจะตั้งสติของเรา แล้วเราเตือนเรานะ เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ฉะนั้น มีสิ่งใดจะเป็นสมบัติของเรา มีสิ่งใดจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ของเรา เราต้องหยิบฉวย

การหยิบฉวยคือการกระทำ มันหยิบฉวยเอาในโลก การหยิบฉวยเราหยิบฉวยสิ่งใดไม่ได้เลย แต่ในสิ่งที่เป็นนามธรรม เราจะทำของเราขึ้นมา สติเราก็ฝึกขึ้นมา สมาธิเราก็ทำของเราขึ้นมา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันจะติดกับใจของเราไป ไม่ต้องให้ใครอุทิศส่วนกุศลให้ อุทิศส่วนกุศลคือฝากไปรษณีย์ไป นี้เราจะเอาไปเอง นี้เราจะหยิบต้องของเรา แล้วเราจะเอาใจของเราไปกับเรา

ใบไม้ผลัดใบแล้วให้รู้สึกตัว ให้สะเทือนใจ ให้ถามตัวเอง ให้ตัวเองมีที่พึ่งอาศัย เตือนตัวเองไว้ อย่าปล่อยให้กาลเวลามันล่วงไปโดยที่ไม่มีประโยชน์สิ่งใด เอวัง